อดข้าวอดนอนเพื่อให้เกิดปัญญา

อดข้าวอดนอนเพื่อให้เกิดปัญญา

379
0
แบ่งปัน

**** “อดข้าวอดนอนเพื่อให้เกิดปัญญา” ****

ขอสาธุคุณ

สวัสดีให้มีแต่ความเจริญ

ธรรมะนั้นอยู่เบื้องหน้าเรา

เรามีสายตาสอดส่งที่จะมองเห็นธรรมนั้นหรือไม่

เราอยู่อย่างไม่ดูว่า ธรรมชาติมันชี้ธรรมอย่างไร

ธรรมชาติแสดงธรรมอยู่ เราไม่รู้

ถึงรู้ ก็มองไม่เห็น ถึงเห็นก็มองไม่เป็น

ถึงมองเป็น ก็มองดูด้วยความไม่รู้

ธรรมนั้นไม่ยัดเยียด ไม่ตีบแคบ

ไม่จำกัดแค่เพียงความคิดหรืออักขระตามตำรา

เปิดใจอิสระออกมานอกกรอบบ้าง ก็จะเห็นธรรม

นี่เป็นธรรมนอก ที่เราพึงเรียนรู้เพื่อเข้าใจถึงความเป็นจริงในธรรมดาทั้งหลาย

นั่นแกงเผ็ด กินแกงแล้วเผ็ด

ความเผ็ดนั้นเป็นอาการปรุง

คำว่าเผ็ดนั้นเป็นสมมุติแห่งอาการ

ตัวเรานั้นเข้าไปเป็นเจ้าของอาการ

เมื่อเป็นเจ้าของ มันก็เลยมีอาการว่ากูเผ็ด

แต่ความจริง อะไรคือกู มันก็ยังไม่รู้

พอๆ กับเผ็ด มันเกิดจากอะไร ก็ไม่รู้เหมือนกัน

ที่รู้ๆเผ็ดนั้นมันต้องเกิดจากแกง

เราไม่รู้ว่าเผ็ดนั้นมันเกิดจากกู ไม่ได้เกิดจากแกง

เป็นเพราะกูไปแดกแกง ความเผ็ดมันก็เลยเผ็ดขึ้นมาที่กู ไม่ใช่ที่แกง

นี่..ธรรมมันต้องเอากายเข้าไปผัสสะ

มันรู้อยู่ที่กายนี่ ไม่ได้ไปรู้อะไรอยู่ที่ไหน

เผ็ด..มันไม่ต้องพิจารณาอะไร แตะลิ้นปุ๊บ มันรู้ของมันว่าเผ็ด

อาการเจโตมันเป็นของมันอย่างนี้ รู้ได้โดยไม่ต้องพิจารณา

ถ้าไม่รู้ซิ ต้องพิจารณาหาสัญญาขึ้นมาปรุงใหม่

ตอนนี้พระนธีขึ้นไปงดอาหารอยู่บนเขานู่น

พรุ่งนี้ก็วันที่สาม

ลงมาคงเขียวและหน้าแห้ง

ก่อนหน้านี้พระวินก็ขึ้นไปงดเหมือนกัน

พระมหาจงก็ล่อไปสามวันเหมือนกัน

การที่พระเราขึ้นไปทำเช่นนี้ได้นี่

เป็นการใช้กำลังใจสูง

คนไม่เคยนี่ พูดยังไงก็ได้

เพราะมันไม่มีกำลัง

การขึ้นไปงดอาหาร ปฏิบัติตน เดิน ยืน นอน นั่งนี่

ต้องใช้กำลังใจสูงมาก

บวชแล้วควรทำให้ได้

เพราะมันเป็นหนทางแห่งนำไปสู่วิถีปัญญา

การขึ้นไปทรมานกาย

มันจะเห็นชัดถึง ผู้ดูผู้รู้ กาย และเวทนา

มันเห็นชัดถึง การแยกส่วนต่างๆออกมา

และเป็นหนทางเข้าถึงไปสู่ความเป็นเจโต

เจโตวิมุติอาศัยการบีบทรมานกายแล้วเพ่งดู

ใจจะเกิดปัญญาญาณขึ้นมา

รู้เห็นชัดและตรงได้โดยไม่ได้มีการพิจารณาสาวผลไปหาเหตุ

ฟังดูเหมือนขัดแย้งกับที่ฟังมา

ว่าการทรมานกาย ไม่สามารถเข้าถึงการบรรลุธรรมได้

ที่บรรลุธรรมไม่ได้

เพราะเป็นการกระทำ ที่ขาดผู้ชี้แนะ และร่องทางแห่งการกระทำ

เป็นการกระทำอย่างขาดเป้าหมายแห่งธงชัยว่ากระทำเพื่ออะไร

เราไปเอาความหมายที่ว่า

พระพุทธองค์เองทรมานกาย ก็ไม่ได้บรรลุ

นี่ไปตีความเอาเอง

เอากาลตอนทรมานกายไปรวมกับตอนตรัสรู้

และแปล อัตถกิลนุโยคในธัมจักร ว่าเป็นการทรมานกายให้ลำบาก

นี่..แปลความไม่ถูกในความหมายแห่งคำ แห่งธรรมในปฐมเทศนา

บารมีของพระองค์ท่าน ไม่ได้ต้องบรรลุด้วยวิถีการทรมานกาย

เป็นแต่การทรมานกายเป็นวิบากหนทางหนึ่ง ที่ท่านจะต้องเข้าไปเผชิญรู้

ภาวะเจโตของพระองค์ท่าน

เกิดด้วยญาณแห่งบุพเพนิวาสา

ไม่ใช่เกิดด้วยการทรมานกายอย่างโลกเขาว่า
ในแนวทางแห่งพราหมณ์ฤษีอย่างนั้น

ข้าเองก็ผ่านหนทางเช่นนี้มาก่อน

และเกิดญาณเจโตวิมุติขึ้นมายืนยันธรรมได้อย่างชัดเจน

นี่เป็นความจริงที่ปรากฏผลอยู่

หลวงตามหาบัว หลวงปู่มั่น และหลายๆหลวงพ่อ

ต่างผ่านการทรมานกายมาด้วยกันทั้งสิ้น

ธรรมนั้นหากจะเกิดปัญญา

ต้องดำเนินมาหนทางแห่งทุกข์

เผชิญทุกข์ด้วยตัวเราเอง

และหาวิธีแยบคายในหนทางแห่งทุกข์นั้นๆ

เราไม่ได้ทรมานกายอย่างโง่ๆซักหน่อย

เรามีครูบาอาจารย์ที่ผ่านทางนี้มาแล้วชี้แนะ

การทรมานอย่างโง่ๆแล้วไม่เกิดผลอะไรต่อจิตนี่ก็มี

การมีวิริยะนี่ เป็นความเพียรทางกาย จึงจะเห็นผล

ธรรมนั้น ไม่มีอะไรได้มาอย่างง่ายๆด้วยการเปิดหนังสือเอา

การเปิดหนังสืออ่านเอา

มันเป็นธรรมเด็กน้อย เป็นความรู้ไม่ใช่ความจริง

รู้มากมานะก็มาก

และมันจะโง่ไปเช่นนั้นจนตายไปอีกชาติ

พระอรหันต์เจ้า ไม่มีใครได้มาโดยนั่งอ่านหนังสือหรือคิดเอา

อริยบุคคลเกิดขึ้นเพราะความเพียร วิริยะ ศรัทธา และปัญญาเกิดจากการกระทำทั้งสิ้น

ในหลักสติปัสฐานสี่

การดูกายเป็นสิ่งแรก

การดูกายด้วยการฝึกอย่างเอาจริงเช่นพระของเรา

มันจะเห็นเวทนาชัด

และเมื่อมีผู้ชี้แนะ

ก็จะเห็นการปรุงแต่งแห่งเวทนาชัดว่ามาจากจิต

เราไม่ได้เป็นกาย และเวทนา

นี่..การขึ้นไปอยู่ผู้เดียวมันได้อานิสงส์เยอะมาก

มันคุยได้ ว่าเคยผ่านสังเวียน

พวกเรามีพระที่มีหน่อเนื้อที่ดี

วันข้างหน้าก็จะเป็นกำลังให้แก่พระศาสนา

ข้านี่ขอโมทนา

และเชื่อว่า

ประสบการณ์ที่ตัวเองลงไปคลุกคลีนั่นแหละ

มันจึงจะทำให้เจ้าของเห็นธรรมได้ด้วยตัวเขาเอง

หวัดดียามดึกๆ

พระธรรมเทศนาโดย พระอาจารย์ธรรมกะ บุญญพลัง 5 เมษายน 2560